การเลือกเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซที่ “ใช่” คือหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าของคาเฟ่คนใหม่ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อ Workflow การทำงาน คุณภาพของเครื่องดื่ม และที่สำคัญที่สุดคือ “กำไร” ของร้าน ปัจจุบันนี้มีตัวเลือกมหาศาล ตั้งแต่แบรนด์อิตาลีสุดคลาสสิก แบรนด์อเมริกันสุดล้ำ หรือแบรนด์จีนที่น่าจับตา เจ้าของร้านก็คิดว่าเอาไงดีหว่า จากประสบการณ์กว่า 20 ปี ผมได้สร้างเช็กลิสต์ 10 ข้อนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยให้คุณเลือกเครื่องชงที่เหมาะสมที่สุดและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
1. กี่หัวชงดี?
ก่อนจะเริ่มเลือกว่าจะเอายี่ห้ออะไรดี สิ่งแรกที่ต้องทำคือประเมินยอดขายที่คาดการณ์ไว้ตาม business plan หรือ feasibility study ก่อน การเลือกเครื่องที่เล็กเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาคอขวดในช่วงเวลาเร่งด่วน ทำให้เสียโอกาสในการขายและสร้างความหงุดหงิดให้ลูกค้า ในทางกลับกัน เครื่องที่ใหญ่เกินไปก็เป็นการสิ้นเปลืองเงินทุนและพลังงานโดยใช่เหตุ
ร้านขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 100 แก้ว/วัน): เครื่องชงแบบ 1 หัวชง (1-group) ก็เพียงพอสำหรับร้านบรรยากาศสบายๆ ที่มีเมนูกาแฟไม่ซับซ้อน
ร้านขนาดกลาง (100-300 แก้ว/วัน): เครื่องชงแบบ 2 หัวชง (2-group) ถือเป็นมาตรฐานสำหรับคาเฟ่ส่วนใหญ่ เพราะให้ความสมดุลระหว่างความสามารถในการชงและพื้นที่ติดตั้ง
ร้านขนาดใหญ่ (มากกว่า 300 แก้ว/วัน): จำเป็นต้องใช้เครื่องชง 3 หัวชง (3-group) หรืออาจจะ 4 หัวชง (4-group) สำหรับร้านที่มีลูกค้าหนาแน่นตลอดเวลา หรือบางทีเครื่อง 2 หัวชง 2 เครื่อง อาจให้ความยืดหยุ่นและเป็นระบบสำรองที่ดีกว่าการใช้เครื่อง 4 หัวชงเครื่องเดียว
2. ตะแกรงใส่กาแฟขนาดเท่าไหร่ดี?
คำถามนี้ยากที่สุด เพราะมันกำหนดด้วยหลายปัจจัย แต่ที่แน่ๆ ต้องรู้ว่าจะใช้กาแฟกี่กรัม ใช้กาแฟคั่วเข้มอ่อนขนาดไหน และเสิร์ฟถ้วยขนาดเท่าไหร่ เครื่องดื่มจะถูกเจือจางไปขนาดไหน ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ business plan และ recipe ต้องมีอยู่ในใจแล้ว
58mm: เป็นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของตะแกรงที่เรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานของเครื่องชงกาแฟในระดับ commercial ข้อดีคือมีอุปกรณ์ประกอบให้เลือกเยอะ คุยกับคนอื่นรู้เรื่อง แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ทำให้ต้องบดกาแฟค่อนข้างละเอียด ซึ่งส่งผลต่ออีกหลายๆ ปัจจัยตามมา
53-54mm: มีเครื่องชงระดับ commercial บางยี่ห้อที่ใช้ตะแกรงขนาดนี้ เช่น Dalla Corte, La Spaziale, La San Marco ด้วยหน้าตัดที่เล็กกว่า ทำให้เพิ่มแรงต้านของน้ำได้มากขึ้น รสชาติกาแฟก็จะนุ่มนวลและหวานขึ้น
49-51mm: ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องชงกาแฟสำหรับใช้ในบ้าน ออกแบบมาเพื่อให้ใส่กาแฟได้น้อยลงแต่ยังคงรักษาความหนาของก้อนกาแฟที่สามารถสร้างแรงดันที่เหมาะสมได้อยู่ เพื่อตอบโจทย์การบริโภคกาแฟในปริมาณน้อยๆ บางยี่ห้อมีขนาดที่เล็กกว่านั้นอีก ปัจจุบันอินฟลูบางคนหันมาให้ความสนใจกับตะแกรงขนาดเล็กๆ กันแล้วเพราะรู้สึกว่าชงกาแฟออกมาแล้วอร่อยกว่า ถ้าสนใจข้อนี้อยากให้ติดตามเพจเราไปเรื่อยๆ ครับ
3. มือไหนดี? มือหนึ่ง สอง หรือ…
แม้ว่าเครื่องใหม่แกะกล่องจะสวยเนี้ยบน่าใช้ แต่เครื่องมือสองที่ผ่านการ Refurbished ก็ช่วยให้คุณประหยัดงบได้มหาศาล
เครื่องใหม่ (New): มาพร้อมการรับประกันเต็มรูปแบบจากผู้ผลิต, เทคโนโลยีล่าสุด และความสบายใจที่ได้ของใหม่แน่นอน แต่ก็ต้องแลกมากับการลงทุนเริ่มต้นที่สูงกว่ามาก
เครื่องมือสอง (Second-Hand Refurbished): สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเริ่มต้นได้ถึง 30-50% แต่สิ่งสำคัญคือต้องซื้อจากผู้ขายที่น่าเชื่อถือ มีการรับประกัน และผ่านการตรวจสอบหรือเปลี่ยนอะไหล่ที่เสื่อมสภาพแล้วอย่างละเอียด ควรระวังการซื้อ “ตามสภาพ” เพราะอาจกลายเป็นหลุมดำดูดเงินค่าซ่อมได้
4. เอาเครื่องจากประเทศไหนดี?
ประเทศต้นกำเนิดมักจะสะท้อนถึงปรัชญาของแบรนด์นั้นๆ
แบรนด์อิตาลี (เช่น La Marzocco, Nuova Simonelli, Victoria Arduino): มีชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือ ความทนทาน และดีไซน์คลาสสิก ถือเป็น “โตโยต้า” ของวงการ หากเครื่องมีปัญหาก็มีอะไหล่เต็มเมือง หากเบื่อๆ ก็จะส่งต่อเปลี่ยนมือได้ง่าย
แบรนด์ไฮเอนด์ (เช่น Slayer, Synesso, Kees van der Westen): เป็นที่รู้จักในด้านเทคโนโลยีสุดล้ำ ความสามารถในการปรับแรงดัน (Pressure Profiling) และดีไซน์ที่สวยงามน่าทึ่ง มาพร้อมกับราคาที่สูง แต่ก็ให้การควบคุมที่เหนือชั้นสำหรับบาริสต้าที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ
แบรนด์ใหม่จากจีน: เริ่มนำเสนอเครื่องที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า แม้ชื่อเสียงอาจจะยังไม่แพร่หลายเท่า แต่บางแบรนด์ก็มีฟังก์ชันที่น่าประทับใจและคุ้มค่ามาก ควรศึกษาข้อมูลรีวิวและบริการหลังการขายให้ดีก่อนตัดสินใจ
5. ทุ่มทุนเท่าไหร่ดี?
เห็นบางร้านลงุทนมหาศาลกับเครื่องระดับไฮเอนด์ เพื่อหวังสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า เราต้องทำแบบนั้นมั้ย? คำตอบคือ business plan เป็นยังไงครับ แม้เครื่องเหล่านี้จะยอดเยี่ยม แต่ฟังก์ชันขั้นสูงอาจไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มศักยภาพในร้านที่เน้นการบริการที่รวดเร็วและเครื่องดื่มขวัญใจชาวไทย เครื่องระดับกลางๆ จากอิตาลีที่คุณภาพดีก็ให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมและให้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่ดีกว่า ก่อนตัดสินใจเลือกเครื่อง ต้องมองที่ฟังก์ชั่นการใช้งานสอดคล้องกับคอนเซ็ปต์และงบประมาณของร้าน
6. กี่หม้อต้ม (Boiler) ดี?
ระบบ Boiler คือตัวกำหนดความสามารถของเครื่องในการชงกาแฟและสตีมฟองนมไปพร้อมๆ กัน
Single Boiler: ใช้หม้อต้มเดียวในการทำความร้อนทั้งสำหรับการชงและสตีมฟองนม แต่ไม่สามารถทำพร้อมกันได้ ไม่เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์
Heat Exchanger: มีหม้อต้มเดียวที่รักษาอุณหภูมิสำหรับไอน้ำ แต่มีท่อน้ำสำหรับชงวิ่งผ่านเพื่อแลกเปลี่ยนความร้อน เป็นตัวเลือกที่ดีและคุ้มค่าสำหรับคาเฟ่จำนวนมาก ถ้า 90% ของเครื่องดื่มที่ชงเป็นกาแฟเย็น เครื่องชงระบบนี้ก็เพียงพอแล้ว
Dual / Multi Boiler: มีหม้อต้มแยกกันสำหรับการชงและสตีมฟองนมโดยเฉพาะ ทำให้ควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำและสามารถทำงานทั้งสองอย่างได้พร้อมกันโดยที่อุณหภูมิไม่ตก เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับร้านที่มียอดขายสูงและร้านกาแฟ Specialty ที่ต้องการการควบคุมขั้นสุด
7. สร้างแรงดันยังไงดี?
จุดเด่นของเครื่องชงเอสเพรสโซคือการรีดหัวกาแฟเข้มข้นออกมาด้วยแรงดันสูง
Manual Lever: ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องชงกาแฟขนาดเล็กสำหรับชงในบ้าน ต้องการฝีมือของบาริสต้า 100% เพื่อให้ได้ความแม่นยำของการสร้างแรงดัน เป็นงานคราฟท์ขั้นสุด
Spring Lever: ย้อนอดีตไปยุคโบราณเพื่อมอบประสบการณ์การชงที่ไม่เหมือนใคร แรงดันที่ลดหลั่นลงตามธรรมชาติของสปริงสามารถสร้างรสชาติเอสเพรสโซที่หวานและมี Body ที่ดี มีดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตา แต่ต้องใช้แรงในการโยกสปริงแข็งๆ
Pump-Driven: เป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ใช้ปั๊มไฟฟ้าในการสร้างแรงดันที่คงที่ ใช้งานง่ายกว่าและให้ความสม่ำเสมอของรสชาติได้ดีกว่า เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีล้ำหน้าไปไกล เครื่องรุ่นใหม่ๆ สามารถสร้างโพรไฟล์ของแรงดันได้ซับซ้อน ปรับแต่งรสชาติของกาแฟได้หลากหลาย ซึ่งก็ต้องการบาริสต้าที่มีความเข้าใจมากขึ้นตามไปด้วย
8. การเตรียมระบบไฟฟ้า: เรื่องสำคัญที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด
เครื่องชงกาแฟเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงและต้องการระบบไฟฟ้าที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
แรงดันและแอมแปร์: เครื่องเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่ต้องการแรงดันไฟและกระแสไฟที่สูง (ปกติคือ 20-30 แอมป์) ซึ่งไม่ใช่เต้ารับแบบมาตรฐานทั่วไป ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ใช้ไฟสามเฟส ซึ่งไฟบ้านทั่วไปไม่มี ต้องขอมิเตอร์กับการไฟฟ้าใหม่
วงจรเฉพาะ (Dedicated Circuit): เครื่องชงต้องต่อกับเบรกเกอร์ของตัวเองเท่านั้น เพื่อป้องกันไฟกระชากหรือไฟตก ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้เครื่องและส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน
ปรึกษาช่างไฟฟ้า: ก่อนที่เครื่องจะมาส่ง ควรให้ช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตมาติดตั้งเต้ารับและวงจรที่ถูกต้องให้เรียบร้อย นี่คือขั้นตอนสำคัญเพื่อความปลอดภัยและการรับประกันสินค้า
9. “น้ำ” คือหัวใจสำคัญ: ต้องกรอง กรอง แล้วก็กรอง!
คุณภาพของน้ำเป็นปัจจัยที่ถูกมองข้ามมากที่สุด ทั้งที่มีผลต่อรสชาติกาแฟและอายุการใช้งานของเครื่อง ตะกรันที่เกิดจากน้ำกระด้างคือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เครื่องชงกาแฟพัง
การตรวจวัดค่าน้ำ: ก่อนติดตั้ง ควรนำน้ำไปตรวจวัดค่าความกระด้าง (TDS), ค่า pH และปริมาณคลอรีน
ระบบกรองที่เหมาะสม: จากผลการตรวจวัด ให้ติดตั้งระบบกรองน้ำเกรดเชิงพาณิชย์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงไส้กรองคาร์บอนเพื่อกำจัดคลอรีน และระบบทำน้ำอ่อน (Softener) หรือระบบ Reverse Osmosis (RO) เพื่อจัดการกับความกระด้าง
วาล์วควบคุมแรงดันน้ำและท่อน้ำเฉพาะ: เพื่อให้ให้มั่นใจได้ว่าน้ำที่เข้าเครื่องมีแรงดันและอัตราการไหลที่สม่ำเสมอ แรงดันไม่เหวี่ยงไปมาถ้าเปิดก๊อกน้ำ
10. ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership): มองให้ไกลกว่าป้ายราคา
ราคาซื้อเริ่มต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจผลกระทบทางการเงินอย่างแท้จริง คุณต้องพิจารณาต้นทุนรวมทั้งหมดตลอดอายุการใช้งาน
ค่าติดตั้ง: รวมค่าใช้จ่ายในการเดินระบบไฟฟ้าและระบบประปา
ค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซม: หาข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อมใช้งานและราคาของอะไหล่ รวมถึงช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญสำหรับแบรนด์ที่คุณเลือกในพื้นที่ของคุณ
ค่าไฟ: เครื่องชงรุ่นใหม่ๆ มักจะประหยัดพลังงานมากกว่า ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมากในระยะยาว
ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม: ความซับซ้อนของเครื่องจะส่งผลต่อเวลาและค่าใช้จ่ายในการเทรนพนักงานของคุณ
การทำตามเช็กลิสต์นี้อย่างละเอียดจะช่วยให้เจ้าของคาเฟ่ทั้งมือใหม่และเสามารถตัดสินใจเลือกเครื่องชงกาแฟได้อย่างมั่นใจ หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มีค่าใช้จ่ายสูง และได้เครื่องชงที่จะเป็นหัวใจสำคัญที่มั่นคงและสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจของคุณไปอีกนานหลายปี