Coffee is Luxury. The End.

ทิ้งท้ายไว้ในโพสต์ที่แล้วว่าจะอัพเดตพรุ่งนี้ แต่หายไปสองสัปดาห์ ต้องขออภัยที่ล่าช้านะครับ

เข้าเรื่องเลยดีกว่า…

ก่อนที่จะเข้าสู่การก่อตั้ง New York C Market อยากชวนย้อนเวลาไปให้เห็นความวุ่นวายของการซื้อขายกาแฟในสมัยก่อนอันไกลโพ้นที่การซื้อขายกาแฟเป็นระบบที่กระจัดกระจาย ผู้ผลิตในละตินอเมริกา แอฟริกา และเอเชียขายกาแฟให้กับผู้ส่งออกซึ่งเจรจาโดยตรงกับผู้นำเข้าและโรงคั่วกาแฟ (คล้ายๆ กับปัจจุบัน???) ราคาผันผวนอย่างรุนแรงตามสภาพท้องถิ่น ความพร้อมของการขนส่ง และความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ระบบนี้ไม่มีมาตรฐานการคัดเกรด ไม่มีเงื่อนไขสัญญาที่เป็นแบบเดียวกัน และไม่มีตลาดกลางที่กาแฟสามารถซื้อขายโดยอ้างอิงอะไรสักอย่างได้

ระบบที่ไม่มีการรวมศูนย์นี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงมหาศาล ผู้คั่วกาแฟไม่สามารถคาดการณ์ต้นทุนได้ ผู้ปลูกและแปรรูปกาแฟไม่สามารถคาดการณ์ว่าจะได้เงินเท่าไหร่ และทุกคนในสายการผลิตต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนตลอดเวลา อุตสาหกรรมกาแฟจึงต้องการอะไรสักอย่างที่มีความเสถียรและคาดเดาได้ ในขณะเดียวกันนั้น การพัฒนาอย่างรวดเร็วของการคั่วกาแฟเชิงอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาและยุโรปยิ่งเป็นตัวเร่งความต้องการให้เกิดการรวมศูนย์ขึ้น การคั่วเชิงอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง บริษัทอย่าง Folgers, Maxwell House และ Nestlé สร้างโรงคั่วขนาดใหญ่ที่สามารถคั่วกาแฟได้หลายตันต่อวัน ซึ่งมีความท้าทายที่สำคัญว่าเมื่อเดินเครื่องจักรแล้วจะรับประกันว่ามีกาแฟเข้ามาคั่วอย่างสม่ำเสมอในราคาที่ยังควบคุมต้นทุนการผลิตอยู่ได้อย่างไร?

ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1882 ที่ New York Coffee Exchange ได้เกิดขึ้นเพื่อแก้ไข pain point ต่างๆ หลายคนอาจจะคิดว่าตัวย่อ “C” หมายถึง “Coffee” บ้าง “Centrals” หรือกาแฟที่มาจากอเมริกากลางบ้าง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่โค้ดไว้เรียกระบบของตลาดเฉยๆ โดยครอบคลุมกาแฟอราบิก้าจากแหล่งต่าง ๆ (ถ้าเป็นกาแฟโรบัสต้าจะค้าขายกันที่ลอนดอน มีข้อกำหนดที่แตกต่างออกไปจากอราบิก้า) โดยยอมรับกาแฟที่ตรงตามมาตรฐานของสัญญา เช่น ขนาดเมล็ดกาแฟ จำนวนข้อบกพร่อง และคุณภาพของรสชาติ โดยมีข้อกำหนดพื้นฐานคือ ปริมาณ (37,500 ปอนด์ หรือประมาณ 250 กระสอบ) วันที่ส่งมอบ (รายละเอียดเรื่องคุณภาพอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.coffeeresearch.org/coffee/brazilclass.htm)

สิ่งที่ต้องเอามาคิดก็คือ กาแฟไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์ (commodity product) ที่เหมือนกันทั้งหมด อุตสาหกรรมกาแฟจำแนกประเภทที่ชัดเจนตามวิธีการแปรรูปและแหล่งที่มา เช่น:

  • Colombian Milds: กาแฟอราบิก้าแบบ washed processed คุณภาพสูงจากโคลอมเบีย เคนยา และแทนซาเนีย
  • Other Milds: กาแฟอราบิก้าจากประเทศอื่นในละตินอเมริกา เช่น กัวเตมาลา เม็กซิโก และฮอนดูรัส
  • Brazilian Naturals: กาแฟอราบิก้าแบบ pulped natural และ natural ส่วนใหญ่จากบราซิลและผู้ผลิตในอเมริกาใต้รายอื่น
  • Robustas: กาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าจากอินโดนีเซีย และบางส่วนของแอฟริกา (ค้าขายในตลาดลอนดอน)

และโดยส่วนใหญ่กาแฟ Colombian Milds มักมีราคาสูงกว่าราคาที่กำหนดใน C Market หรือที่เรียกว่า premiums ในขณะที่กาแฟประเภท Brazil Naturals มักมีราคาต่ำกว่า (discounts) ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมในตลาดและความแตกต่างในด้านคุณภาพ

จุดจบของความลักชู

เมื่อการค้าขายกาแฟมีมาตรฐานกลาง มีตลาดระดับอุตสาหกรรมที่ต้องการกาแฟมหาศาล และความสะดวกในการขนส่ง ฝั่งต้นน้ำก็เริ่มการผลิตกาแฟที่เป็นระบบอุตสาหกรรมมากขึ้น มีแปลงปลูกขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องจักรมาทดแทนแรงงานคน การรวบรวมกาแฟให้ได้ปริมาณมาก การพัฒนาด้านการขนส่ง มีส่วนสำคัญทำให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตอย่างมหาศาล และส่งผลให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้ราคากาแฟจะผันผวนแค่ไหนแต่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อแล้ว ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้แสดงว่าราคากาแฟในปัจจุบันสูงกว่าในอดีตเลย

จากกราฟเป็นราคากาแฟเมื่อปรับค่าตามอัตราเงินเฟ้อ จะเห็นว่าแนวโน้มราคาไม่ได้สูงขึ้นเลยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และในปี 1977 และ 1994 ที่มีน้ำค้างแข็งในบราซิลแล้วทำให้ราคาสูง เมื่อปรับค่าอัตราเงินเฟ้อแล้วถือว่าสูงกว่าปัจจุบันหลายเท่า

การมีราคากลางอ้างอิงทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตในประเทศต่างๆ โรงงานคั่วกาแฟขนาดใหญ่ สามารถหากาแฟที่ราคาถูกที่สุดแล้วนำมาเบลนด์ให้เกิดรสชาติที่สม่ำเสมอได้ ผู้ผลิตบางรายที่ยังใช้แรงงานคนอยู่มากมีรายได้ไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต และไม่ได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรต้นน้ำดีขึ้นเท่าไหร่ด้วย

เมื่อการผลิตกาแฟมีต้นทุนที่ถูกลง วิวัฒนาการด้านปลายน้ำเป็นตัวเร่งให้การดื่มกาแฟขยายตัวขึ้น ความก้าวหน้าที่สำคัญที่สุดในการทำให้กาแฟเข้าถึงผู้คนได้อย่างกว้างขวางคือการคิดค้นกาแฟสำเร็จรูป Nescafé ได้เปลี่ยนกาแฟคั่วบดให้กลายเป็นผงที่มีราคาถูกและอายุการเก็บรักษานาน เวลาจะดื่มก็แค่เทน้ำร้อนใส่ บริษัทต่างๆ จึงได้ลงทุนอย่างหนักในด้านการตลาดเพื่อเพิ่มการบริโภค กาแฟจึงเปลี่ยนจากเครื่องดื่มสำหรับโอกาสพิเศษมาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยผ่านแคมเปญโฆษณาในโทรทัศน์ที่สร้างนิสัยการบริโภคใหม่อย่าง “The best part of waking up is Folgers in your cup” เป็นการตลาดที่ฝังภาพลักษณ์ของกาแฟเข้าไปในกิจวัตรประจำวันของผู้บริโภค https://www.youtube.com/watch?v=sr5CGYeFKgw

อีกปัจจัยที่ช่วยทำให้การขยายตัวของกาแฟไปยังทุกผู้คนก็คือ การเติบโตของซูเปอร์มาร์เก็ตและเครือข่ายค้าปลีกแบบต่างๆ กาแฟได้กลายเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากความมีประสิทธิภาพของการค้าปลีกสมัยใหม่ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้บริโภคมากขึ้นอีกด้วย กาแฟสำเร็จรูปที่ผลิตในต่างประเทศสามารถส่งออกไปยังขายประเทศที่ประชากรมีรายได้น้อยกว่าได้

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เปลี่ยนกาแฟจากสินค้าหรูหราที่คนร่ำรวยเท่านั้นจะได้ลิ้มลอง ให้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ผู้คนทุกชนชั้นสามารถบริโภคได้ โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากผู้บริโภคกลุ่มใหม่ในตลาดกำลังพัฒนาที่ครั้งหนึ่งเคยไม่สามารถซื้อกาแฟได้ มาตรฐาน ประสิทธิภาพ และการผลิตในระดับขนาดใหญ่ที่มาจากการค้าขายระดับโลกได้ช่วยทำให้การบริโภคกาแฟเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างแท้จริง ทำให้กาแฟกลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีการบริโภคอย่างแพร่หลายที่สุดในโลก โดยไม่ขึ้นอยู่กับสถานะทางสังคมหรือเศรษฐกิจ

จนกระทั่งเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งคิดคำว่า Specialty Coffee ขึ้นมา…

Coffee is Luxury. Ep.2

ก่อนอื่น ขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปสักหน่อยก่อนจะไปทำความรู้จักกับ New York C Market ว่ามันมาได้ยังไง แล้วทำไมกาแฟถึงต้องมีราคากลางมาเป็นตัวอ้างอิง

ในปัจจุบัน กาแฟที่เราดื่มกันทุกวัน มาในสารพัดรูปแบบ จะร้อนเย็น เอสเพรสโซ่ มอคค่า หรือลาเต้แสนนุ่ม ก็หาซื้อได้ง่ายและราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ของทุกคน แต่ใครจะไปนึกว่าครั้งหนึ่งเจ้าน้ำดำรสขมนี้เคยเป็นของสูงส่งสำหรับผู้ทรงอำนาจและคนกระเป๋าหนักเท่านั้น

กาแฟไม่ได้เป็นแค่เครื่องดื่มสำหรับเบิกตาให้สว่างหรือแก้เหนื่อยล้า มันคือเรื่องราวที่พันพัวกับประวัติศาสตร์โลก ทั้งการค้า การล่าอาณานิคม และการปฏิวัติอุตสาหกรรม กาแฟเคยถูกจัดว่าเป็นสินค้าหรูหราที่คนธรรมดายากจะเอื้อมถึง จนกาลเวลาพลิกผัน เปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ใครๆ ก็จับต้องได้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนเอธิโอเปีย มีคนเลี้ยงแพะผู้หนึ่งชื่อ “คาลดี” วันดีคืนดี แกเดินเล่นตามหลังฝูงแพะอยู่ดีๆ ดันเห็นแพะของตัวเองกระโดดโลดเต้นเหมือนโดนผีหลอกหลังจากกินผลเบอร์รี่สีแดงจากต้นไม้ต้นหนึ่ง คาลดีเลยเกิดอาการงงปนอยากรู้อยากเห็นแกเลยลองชิมตามแพะดูสักเม็ด

พอผลเบอร์รี่นั้นแตะลิ้นได้ไม่ทันไร หัวใจของคาลดีก็พองโต กระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนแอบไปจีบสาวหมู่บ้านข้างๆ แกเลยรีบเก็บผลเบอร์รี่เต็มมือไปให้พระที่อารามใกล้บ้าน คิดว่าพระจะปลื้มใจที่แกค้นพบสมบัติล้ำค่า ที่ไหนได้ พระกลับโยนผลเบอร์รี่ของแกลงกองไฟหน้าตาเฉย

แต่เดี๋ยวก่อน! พอผลเบอร์รี่โดนไฟปุ๊บ กลิ่นหอมก็โชยมา พระอีกองค์ที่เดินผ่านมาอดไม่ได้ ต้องหยิบเมล็ดที่คั่วจนหอมมาชงกับน้ำ แล้วลองจิบดู ผลปรากฏว่า…โอ้โห! สดชื่นสุดๆ เหมือนได้พลังบวกทันที

เรื่องราวของคาลดีและแพะเต้นระบำนี้กลายเป็นตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาพร้อมกับกาแฟที่เดินทางไปถึงเยเมนในศตวรรษที่ 15 และกลายเป็นเครื่องดื่มขวัญใจนักบวชซูฟี ที่ใช้กาแฟช่วยให้อยู่ยงตลอดการสวดมนต์กลางดึก

ส่วนเมืองท่าโมคาในเยเมนนั้น กลายเป็นจุดศูนย์กลางการค้ากาแฟที่เจ้าพ่อกาแฟเยเมนควบคุมเข้มงวด จะเอาเมล็ดกาแฟออกนอกประเทศต้องคิดใหม่ เพราะถูกต้มจนปลูกไม่ได้ แต่ถึงจะควบคุมยังไง กาแฟก็ยังเล็ดลอดไปทั่วโลกจนได้ ไปกับพุงกะทิของชายที่ชื่อบาบา บูดัน

นักแสวงบุญชาวอินเดียผู้เปี่ยมด้วยความศรัทธา เดินทางกลับจากการแสวงบุญยังนครเมกกะ ระหว่างแวะทรานสิทที่โมคา คนอื่นอาจคิดถึงของฝากหรือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ บาบา บูดันกลับวางแผนสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด – เขาจะลักลอบนำเมล็ดกาแฟเจ็ดเมล็ดฝ่าด่านโมคาออกไปให้ได้

ตามคำเล่าขานที่ลือกันสนั่นเมือง บางคนว่าเขาแอบซุกเมล็ดกาแฟไว้ในเคราดกดำ บ้างก็ว่าผูกมันแน่นไว้กับพุงอวบๆ ของเขา ไม่ว่าเรื่องราวไหนจะเป็นความจริง สิ่งที่สำคัญคือชายผู้นี้กล้าหาญราวกับเป็น สายลับกาแฟคนแรกในประวัติศาสตร์

เมื่อกลับถึงอินเดีย บาบา บูดันไม่ได้เสียเวลาเปล่า เขานำเมล็ดกาแฟที่ยังมีชีวิตทั้งเจ็ดไปปลูกบนเนินเขาแห่งหนึ่งในรัฐกรณาฏกะ และปรากฏว่าเมล็ดกาแฟเหล่านั้นเติบโตงอกงามกลายเป็นไร่กาแฟแห่งแรกของอินเดีย เนินเขาที่เขาลงแรงปลูกจึงได้รับการตั้งชื่อว่า “บาบา บูดัน คีรี” เพื่อเป็นเกียรติแก่วีรกรรมอันกล้าหาญ

ว่ากันว่าเลขเจ็ดมีความหมายลึกซึ้งในหลายวัฒนธรรม เป็นเลขแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และเมล็ดกาแฟเจ็ดเมล็ดของบาบา บูดันก็เปรียบเสมือน “ความหวังอันศักดิ์สิทธิ์” ที่นำพาให้กาแฟหลุดพ้นจากการผูกขาดของผู้ครอบครองแห่งเยเมน เปิดประตูให้เครื่องดื่มชนิดนี้ได้เดินทางไปสู่ปากแก้วของคนทั่วโลก

เมื่อกาแฟเริ่มกระจายไปทั่วอาณาจักรออตโตมันและเปอร์เซีย มันก็เริ่มเชื่อมโยงกับอำนาจและเกียรติยศทันที ราวกับเป็นเครื่องดื่มของพระเจ้า สำหรับสุลต่านและวิเซียร์ก็ว่าได้ วางอยู่บนโต๊ะของคนใหญ่คนโต ก่อนที่จะค่อยๆ กลายมาเป็นเครื่องดื่มของชนชั้นพ่อค้าตามมาในภายหลัง

ในบันทึกยุคแรกๆ ที่มีการกล่าวถึงกาแฟนั้น การเตรียมกาแฟแต่ละแก้วต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อนราวกับการทำพิธีกรรม ต้องใช้ภาชนะเฉพาะที่คนธรรมดาหามาใช้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้เป็นคนมีตังค์จริงๆ ก็จบเห่! ราชสำนักออตโตมันก็ไม่น้อยหน้า พัฒนาให้มีพิธีกรรมกาแฟที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยมีผู้รับใช้เฉพาะ (kahvecibaşı) ที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อการทำกาแฟให้เป็นกาแฟที่สมบูรณ์แบบที่สุด!

พิธีเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่หรูหราเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงลำดับชั้นทางสังคมอีกด้วย—คุณภาพการเตรียมกาแฟและวิธีการนำเสนอสามารถบ่งบอกได้ว่าคนคนนั้นมีฐานะแค่ไหนในสังคม

ร้านกาแฟก็เริ่มเกิดขึ้นในโลกอิสลามเป็นแหล่งที่สำหรับการรวมตัวของชนชั้นสูงที่มีการศึกษาในเมืองใหญ่ๆ เช่น ไคโร ดามัสกัส และอิสตันบูล บรรดาร้านเหล่านี้ไม่ใช่ร้านกาแฟธรรมดาๆ แต่เป็นสถานที่สำหรับนักวิชาการ ศิลปิน หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ต้องใช้เวลาว่างที่นี่เป็นหลัก การเข้าไปนั่งในร้านกาแฟพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ พอจะเข้าไปได้ก็ต้องมีทรัพย์สินและเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว แค่ค่าเข้าเองก็ทำให้ร้านเหล่านี้เป็นพื้นที่เฉพาะของคนชั้นสูงที่มีรสนิยมและเงินทองจริงๆ!

เมื่อกาแฟเดินทางมาถึงยุโรปในศตวรรษที่ 17 เรื่องราวของมันก็เริ่มสนุกขึ้นทันที ด้วยถิ่นกำเนิดแปลกใหม่และราคาที่แพงหูฉี่ ทำให้กาแฟยังคงเป็นเครื่องดื่มเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงที่สามารถดื่มได้อย่างสบายใจ! พ่อค้าชาวเวนิสก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือ แนะนำกาแฟในฐานะของใหม่ที่ต้องลอง—แถมบอกว่าเป็นความอยากรู้อยากเห็นทางการแพทย์เสียด้วย! กาแฟแพงมากจนคนธรรมดาคงจะเพียงแค่ฝันถึงเท่านั้น

ร้านกาแฟแห่งแรกๆ ในยุโรปที่เปิดในเวนิส ลอนดอน และปารีสก็ไม่ธรรมดา พวกมันเป็นสถานที่ที่ราคาแพงสุดๆ แค่ไปแวะก็ต้องเป็นขุนนาง พ่อค้าที่ร่ำรวย หรือปัญญาชนที่เอาเงินมาจ่ายกันได้สบายๆ

ในอังกฤษ แม้ร้านกาแฟจะเรียกเก็บค่าเข้าที่ไม่มากนักตามมาตรฐานของขุนนาง (คือประมาณหนึ่งเพนนี) แต่สำหรับกรรมกรที่ต้องทำงานแทบตายเพื่อหามาเลี้ยงชีพ คงจะมีแค่ฝันไปหรอกที่จะแวะเข้าไปนั่งฟังข่าวสารในร้านกาแฟพวกนั้น “มหาวิทยาลัยเพนนี” พวกนี้เลยกลายเป็นศูนย์กลางการทำธุรกิจ การคุยกันเรื่องการเมือง และการแลกเปลี่ยนวรรณกรรมของชนชั้นที่มีการศึกษาอยู่ในนั้น

ส่วนในฝรั่งเศส คาเฟ่ที่มีชื่อเสียงแห่งแรกอย่าง Café Procope (เปิดปี 1686) ที่ใครๆ ก็รู้จักกันนั้น ก็มีแต่คนดังๆ อย่างโวลแตร์ หรือรุสโซ รวมถึงเบนจามิน แฟรงคลินที่แวะนั่งเขียนรัฐธรรมนูญอเมริกันฉบับแรก—เรียกได้ว่าแทบไม่ใช่คนธรรมดาเลยล่ะ! ร้านกาแฟเหล่านี้จึงถูกเชื่อมโยงกับชนชั้นนำทางปัญญาและการเมืองที่สามารถใช้เวลาและเงินทองดื่มกาแฟในที่สาธารณะได้อย่างสบายใจ

วลี “ไวน์แห่งอาระเบีย” ก็ไม่ธรรมดา มันสะท้อนทั้งความแปลกใหม่ของกาแฟ และยังเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่อยากดื่มแอลกอฮอล์ แถมยังเป็นเครื่องดื่มที่หรูหราและซับซ้อนเหมือนไวน์อีกด้วย การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟก็เลยกลายเป็นการแสดงถึงทุนทางวัฒนธรรมและความประณีตไปในตัว!

บทที่เต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมองที่สุดในการเดินทางของกาแฟสู่การเป็นเครื่องดื่มของชนหมู่มาก กลับมาอยู่ที่อำนาจอาณานิคมของยุโรปที่หันไปมองดินแดนห่างไกลเพื่อตั้งไร่กาแฟในพื้นที่ที่พวกเขาครอบครอง ชาวดัตช์ที่บุกเบิกในชวา ชาวฝรั่งเศสที่ตระเวนในแคริบเบียน และในที่สุดก็ลูกหลานชาวยุโรปที่ขยายการปลูกกาแฟในบราซิล พวกเขาเพิ่มปริมาณการผลิตอย่างมหาศาล… ด้วยต้นทุนที่เป็นหยาดเหงื่อและน้ำตาของมนุษย์

แรงงานทาสกลายเป็นฐานที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมกาแฟนี้ ความทุกข์ทรมานของทาสชาวแอฟริกันที่ถูกบังคับให้ทำงานอย่างทารุณหลายล้านคน… เหล่านี้คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ใช่ของชนชั้นสูงอีกต่อไป แต่กลายเป็นสินค้าพื้นฐานที่สามารถเข้าถึงได้โดยชนชั้นกลางในยุโรป… ถึงแม้ว่าราคาของมันจะถูกลง แต่ก็ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่อัดแน่นไปด้วยความขูดรีดและการเอารัดเอาเปรียบอย่างลึกซึ้ง

แม้ว่าการผลิตกาแฟจะเพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น แต่ระบบชนชั้นในสังคมอาณานิคมยังคงเข้มแข็งไม่เสื่อมคลาย เมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดถูกเก็บไว้สำหรับขุนนางและชนชั้นสูงของยุโรป ขณะที่เกรดที่ต่ำกว่าและเมล็ดกาแฟที่เสียหายก็ถูกกรองลงไปสู่ตลาดที่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจ สังคมที่ตกอยู่ใต้ระบบอาณานิคมก็ยังคงถูกแบ่งแยกทางเชื้อชาติและสังคม ผ่านการเข้าถึงกาแฟคุณภาพที่ชัดเจน

สิ่งที่น่าตกใจอย่างยิ่งคือ ในหลายภูมิภาคที่กาแฟถูกผลิตขึ้น ชาวบ้านในพื้นที่กลับมีโอกาสเข้าถึงผลผลิตที่พวกเขาเองปลูกแทบจะเป็นศูนย์ เพราะการผลิตส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปยังยุโรปเพื่อตอบสนองความต้องการของชาวยุโรป สังคมเศรษฐกิจแบบอาณานิคมที่ครอบงำกาแฟ… สร้างระบบที่ผู้ผลิตท้องถิ่นมักไม่สามารถซื้อกาแฟที่พวกเขาผลิตขึ้นมาเองได้ แม้แต่เพียงสักถ้วย!

พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ จะแวะไป New York ละนะ

Coffee is Luxury

เกิดมาห้าสิบกว่าปีไม่เคยเห็นราคากาแฟแพงเท่านี้ (แต่ถ้าเอาอัตราเงินเฟ้อมาคิด กาแฟไม่ได้ราคาสูงกว่าในอดีตเลย)

ราคากาแฟมาจากไหน ถ้าอราบิก้าทุกคนก็ต้องไปอ้างอิงจาก New York C Market ที่เป็นตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้า commodity ว่าถ้าวันนี้ทำสัญญาซื้อกาแฟจำนวน 37,500 ปอนด์ หรือประมาณ 17 ตัน จะได้กาแฟที่จะส่งมอบในเดือนพค.ปีนี้ ราคาจะอยู่ที่ปอนด์ละ 417.08 เซนต์ หรือแปลงเป็นเงินไทยประมาณ 140 บาท ต่อปอนด์ หรือแปลงเป็นกิโลคือตกกิโลกรัมละ 308 บาท (คาดว่าอาจไปได้ถึง 430c/lb)

แน่นอนเป็นราคากาแฟดิบไว้อ้างอิงเฉยๆ นะ ยังไม่ได้คุยว่าส่งที่ไหนหรือมารับเอง ราคานี้ยังไม่ได้คุยเรื่องคุณภาพนะ ยังไม่ได้คุยว่าเป็นกาแฟมาจากประเทศไหนนะ บราซิลหรือโคลอมเบีย เอธิโอเปียหรือเคนย่า ดอยช้างหรือปากช่อง ซึ่งก็จะสูงกว่าหรือตำกว่านั้นตามอ็อพชั่นข้อตกลงต่างๆที่เพิ่มเติมเข้ามา

ราคาตรงนี้ใครกำหนด เค้าว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่นสภาพอากาศในแหล่งเพาะปลูกสำคัญของโลก เสถียรภาพทางการเมือง (หรือเพราะกี้ไปเกรี้ยวกราดใส่ตั้มถึงทำเนียบขาว?) ทิศทางเศรษฐกิจโลก แนวโน้มผลผลิตที่คาดว่าจะได้ ค่าขนส่งต่างๆ และอัตราแลกเปลี่ยน มาเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค ก็คืออุปสงค์อุปทานนั่นแหละ แต่คนที่กำหนดราคาตรงนี้จริงๆ ไม่ใช่เกษตรกรแน่นอน

ว่าจะเขียนต่อเรื่อง New York C Market แต่เจอราคานี้เข้าไปขอไปคำนวนต้นทุนก่อนนะครับ ปวดหัว