Spirit of the Espressonista

หลังจากที่ห่างหายไม่ได้อัพเดตบล็อกไปสองสัปดาห์ เนื่องด้วยภาระกิจต่างๆ รวมถึงการเตรียมตัวจัดกิจกรรมชิมกาแฟที่เพิ่งผ่านไป วันนี้เรากลับมาพร้อมกับรีวิวเล็กๆ ของเครื่องชงกาแฟตัวหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ในปัจจุบันนี้ นั่นคือ “Spirit” by Kees van der Westen

กำเนิดของเครื่องชงกาแฟตัวนี้เริ่มต้นเมื่อประมาณปี 2010 ที่ Kees ผู้ออกแบบต้องการเครื่องแบบ Multi-boilers มาทดแทนเครื่องรุ่น Mistral ที่บริษัท La Marzocco ซื้อแบบไปผลิตเอง เพราะในตอนนั้น Kees แม้จะมีเครื่อง Speedster ที่เป็นเครื่องแบบ Multi-boilers แต่ก็เป็นเครื่องหัวชงเดี่ยวที่ไม่เหมาะกับการใช้ในร้านกาแฟ มีเพียงเครื่องรุ่น Mirage ที่เป็นระบบแลกเปลี่ยนความร้อนทำตลาดเครื่องชงกาแฟเชิงพาณิชย์อยู่เท่านั้น แม้ Mirage จะขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องระบบแลกเปลี่ยนความร้อนที่ดีที่สุดในโลกแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของเขา

จึงเป็นที่มาของการนำประสบการณ์นับสิบปีที่พัฒนา Mirage เพื่อรองรับการใช้งานหนักอย่างต่อเนื่อง มารวมกับ Speedster ที่โดดเด่นเรื่องการควบคุมอุณหภูมิน้ำกาแฟที่ชง ภายใต้รูปลักษณ์ตัวถังใหม่ เขาเรียกชื่อรุ่นนี้ว่า Spirit ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าเหมาะสมมาก

เมื่อเราคิดถึงจิตวิญญาณของการชงกาแฟเอสเพรสโซในร้านกาแฟ สิ่งที่บาริสต้าต้องการคือความสม่ำเสมอของเครื่องชงกาแฟ คือความนิ่งของแรงดันและอุณหภูมิน้ำ เรื่อง ergonomics หรือการจัดวางตำแหน่งให้เหมาะสม สะดวก และมีประสิทธิภาพ บาริสต้าจึงสามารถพุ่งความสนใจไปที่การบริการลูกค้า การชงเครื่องดื่มให้รวดเร็วแม่นยำ และไม่ต้องกังวลกับตัวแปรต่างๆ ที่เครื่องชงกาแฟว่าควบคุมได้หรือไม่ได้

Spirit มีตัวควบคุมอุณหภูมิแยกจากกันเป็นอิสระสำหรับหม้อต้มน้ำแต่ละใบ มีตัวเลขบอกอุณหภูมิภายในหม้อต้มน้ำอย่างชัดเจนอยู่ด้านหน้า จะปรับเปลี่ยนอะไรก็ทำได้ง่าย ผมรู้สึกว่าตัวเลขแสดงอุณหภูมิน้ำที่ชงกาแฟนั้นขยับไปมาประมาณ +- 0.1 องศาเซลเซียสเท่านั้น น้อยกว่า Speedster ที่ผมเคยใช้อยู่อีก

ด้านหน้าของเครื่องยังมีเกจ์วัดแรงดันอยู่อีกสามตัว สำหรับแรงดันภายในหม้อต้มน้ำแต่ละใบ เวลาชงกาแฟจะเห็นแรงดันตกลงไปอยู่ที่ประมาณ 1-3 บาร์ (แล้วแต่แรงดันน้ำในท่อที่ต่อเข้าเครื่อง) แล้วก็ค่อยๆ กวาดขึ้นไปหยุดนิ่งอยู่ที่ 9 บาร์ ตั้งแต่เริ่มชงกาแฟจนน้ำกาแฟไหลออกมาใช้เวลาประมาณ 7-10 วินาที ผมเคยถามว่าเขาสนใจเรื่อง pressure profiling แบบที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ตอนนี้ไหม เขาบอกสั้นๆ ว่าเครื่องชงแบบคันโยกเป็นหนึ่งในเรื่อง pressure profiling อยู่แล้ว แต่สำหรับเครื่องชงแบบปั๊ม ระบบที่มีอยู่ในปัจจุบันยังคงต้องรอการพิสูจน์ สำหรับ Spirit เขาได้ใช้วิธีทำให้แรงดันเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยลดความเร็วน้ำที่วิ่งเข้าไปในหม้อต้ม เรียกได้ว่าเป็น built-in pressure profiling ก็ได้

มาดูเรื่อง ergonomics กันบ้าง ด้ามชงกาแฟที่เอียงลงเล็กน้อยทำให้เวลาจับถือข้อมือไม่เอียงผิดท่า แรกๆ อาจจะรู้สึกยากนิดหนึ่งแต่ใช้ไปสักพักจะรู้สึกสบายกว่าด้ามชงกาแฟตรงๆ ทั่วไป หัวชงที่ยื่นออกมาจากตัวเครื่อง ทำให้บาริสต้ามองเห็นกาแฟได้อย่างชัดเจน

แต่ที่ผมชอบจริงๆ คือเวลาสั่งให้เครื่องชงทำงาน ทิศทางของข้อมือจะตรงและเคลื่อนไหวเป็นแนวตั้ง ทำให้ข้อมือไม่เอียง ไม่บิด และไม่ต้องรับแรงมาก เวลาชงกาแฟกดก้านสีดำอันสั้น กดหนึ่งครั้งเครื่องทำงาน กดอีกครั้งหนึ่งเครื่องหยุดทำงาน เวลาต้องการน้ำร้อนจากในเครื่องก็กดก้านสีแดง กดหนึ่งครั้งปล่อยน้ำร้อน กดอีกครั้งหยุด หรือสามารถตั้งเวลาให้หยุดเองได้ เวลาสตีมนมก็โยกคันโยกสีดำอันยาวลงจนสุด มันจะล็อคไว้ สตีมเสร็จก็ดันขึ้นเพื่อปลดล็อค ถ้าต้องการไล่ไอน้ำก็แค่กดเบาๆ มันจะเด้งขึ้นมาเองได้ แบบนี้ชงกาแฟทั้งวันก็ไม่เมื่อยมือ เมื่อยแต่ขา

มารื้อดูข้างในกันบ้าง แม้จะใช้เวลาพัฒนามาสองปีแล้ว แต่ Spirit ตัวนี้ยังเป็นรุ่น pre-production อยู่ คือยังรวบรวมปัญหาจากผู้ใช้งานทั่วโลก เพื่อนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นยิ่งๆ ขึ้นไป นี่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ผลิตเครื่องชงกาแฟที่ดี

ใช้ไขควงแบนถอดน็อตออกมาสี่ตัว ตัวถังเครื่องด้านข้างก็จะถอดออกมาได้ ทำให้เห็นภายใน ด้านขวาของตัวเครื่องจะเป็นระบบไฟฟ้าทั้งหมด มีกล่องควบคุมการทำงานของเครื่อง มี solidstate relays  สำหรับหัวชงทั้งสอง และมีหม้อแปลง LED สำหรับไฟด้านหลังเครื่อง

ส่วนด้านขวาเป็นระบบน้ำที่เข้าเครื่อง มีตัวผสมน้ำร้อนน้ำเย็นสำหรับปรับอุณหภูมิน้ำร้อนที่ออกจากก๊อกน้ำร้อนกลางเครื่อง มีบล็อคทองเหลืองแจกจ่ายน้ำไปตามจุดต่างๆ ของเครื่อง

จุดเด่นที่ผมสังเกตเห็นคือ เวลาต้องการเปลี่ยนหรือซ่อมอุปกรณ์ที่ต้องขยับบ่อยๆ เช่นวาล์วไอน้ำ สวิทช์ที่อยู่หลังก้านโยก solidstate relay และกล่องควบคุม สามารถทำได้โดยง่าย แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ค่อยเสียง่ายๆ จะใช้เวลามากกว่าถ้าจะต้องถอดออกมา

จากการใช้งานโดยรวมตลอดเวลา 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา รสชาติกาแฟถือว่าดีมาก Timeless 2012 ที่ชงอยู่ให้รสชาติที่ชัดเจน มีความซับซ้อนของรสชาติที่เกิดจากการเบลนด์กาแฟจากสี่ประเทศ เมื่อเจอกาแฟที่มีตำหนิก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน

ผมพบข้อสรุปว่า ยิ่งเครื่องชงกาแฟดีขึ้นแค่ไหน เครื่องบดกาแฟที่ใช้ก็จะต้องดีขึ้นมากเท่านั้น และเมล็ดกาแฟยิ่งต้องดีขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว สุดท้าย หากบาริสต้าไม่เข้าใจหลักการชงกาแฟเอสเพรสโซ แม้จะมีเครื่องชง เครื่องบด และเมล็ดกาแฟดีเพียงใดก็ไม่สามารถช่วยท่านได้

4 thoughts on “Spirit of the Espressonista

  1. ช่วยทำให้บาริสต้าหน้าตาดีดูหล่อขึ้นไปอีก คิ ๆ

Leave a Reply to espeechso Cancel reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s