PSYCHOLOGICAL SAFETY

ในโรงงานจะมีเจ้าหน้าที่บริหารความปลอดภัย หรือเรียกย่อๆ ว่า จป. หน้าที่ของเค้าคือจะคอยสำรวจหน้างานว่ามีอะไรที่เป็นความเสี่ยงในการปฏิบัติงานที่หากเกิดขึ้นแล้วอาจเกิดผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อเห็นว่ามีจุดอ่อนอะไรตรงไหนก็จะพยายามหาวิธีลดความเสี่ยงนั้นๆ จป.เป็นบุคลากรสำคัญที่ขาดไม่ได้แต่อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รักของคนที่อยู่หน้างาน คงด้วยวัฒนธรรมคนไทยยังไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่จนกระทั่งเกิดความเสียหายขึ้นแล้วค่อยมาล้อมคอก แต่ถ้าได้เคยทำงานกับบริษัททางฝั่งยุโรปที่มาตรฐานสูงๆ ก็จะเข้าใจดีว่าเค้าให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยมากขนาดไหน

นอกจากความปลอดภัยทางด้านกายภาพแล้ว ยังมีความปลอดภัยในการทำงานอีกด้านนึงที่เป็นเทรนด์ในโลกของการทำงานในปัจจุบันก็คือ ความปลอดภัยทางด้านจิตใจ (psychological safety) คือบรรยากาศในการทำงานที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับรู้สึกกล้าพูด กล้าถาม กล้าเสนอไอเดียใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งกล้ายอมรับผิดพลาด โดยไม่ต้องกลัวถูกตำหนิหรือทำให้อับอายขายขี้หน้า

Amy Edmondson นักวิจัยดังจาก Harvard บอกว่า psychological safety คือ “กุญแจสู่ทีมที่ชนะ” เพราะทีมที่มีบรรยากาศในการทำงานแบบนี้ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ความร่วมมือ นวัตกรรมใหม่ๆ และนำไปสู่การเติบโต เช่น barista trainer ที่กำลังเขียน SOP (Standard Operating Procedure) สำหรับการชงกาแฟหรือบริการลูกค้า ควรเชิญบาริสต้าประจำร้านที่เจอลูกค้าจริงทุกวันมาช่วยกันระดมสมอง เช่น ถามว่า “สูตรลาเต้นี้ชงจริงๆ แล้วมันมี pain points อะไรบ้าง? หรือพวกเธอมีเทคนิคอะไรที่ช่วยให้ออกเครื่องดื่มได้เร็วขึ้นโดยที่คุณภาพยังดีอยู่มั้ย?” ​เมื่อบาริสต้ารู้สึกว่าเสียงของตัวเองมีค่า พวกเขาจะผูกพันและทำตาม SOP มากขึ้น (ก็พวกเธอช่วยกันคิดนิ) กล้าทดลองอะไรใหม่ๆ และช่วยกันอัปเดตให้ทันสมัยอยู่เสมอ

​คำถาม 7 ข้อ เพื่อสำรวจระดับความปลอดภัยทางจิตใจในที่ทำงานของคุณ
ให้คะแนน 1-5 (1=ไม่เห็นด้วยเลย 5=เห็นด้วยมาก) ถ้าได้คะแนนเยอะแสดงว่าปลอดภัยมาก​

  1. หากคุณทำอะไรผิดพลาด จะไม่มีใครลงโทษหรือตำหนิคุณ
  2. สมาชิกในทีมยอมรับกันและกันและสร้างมิตรภาพ
  3. สมาชิกในทีมพร้อมช่วยเหลือกันเมื่อมีปัญหา
  4. สมาชิกในทีมกล้าถามคำถามเมื่อไม่เข้าใจ
  5. ในทีมยอมรับได้ว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  6. สมาชิกในทีมกล้าพูดความจริง แม้ขัดแย้งกับหัวหน้า
  7. ในทีมมีการพูดคุยเปิดอก แบ่งปันความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

ถ้าได้คะแนนเยอะก็ดีใจด้วย แต่ถ้าได้คะแนนน้อย เราจะทำอย่างไรดีล่ะ หน้าที่นี้ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนนึง แต่ทุกคนตั้งแต่ระดับบนสุดถึงล่างสุดในองค์กรต้องช่วยกัน และนี่คือ 7 วิธีการช่วยทำให้ที่ทำงานปลอดภัยมากขึ้น สร้างความรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) ในองค์กรทำได้โดยผู้นำเป็นตัวอย่าง สร้างบรรยากาศเปิดกว้าง และส่งเสริมการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะในธุรกิจบริการอย่างคาเฟ่ที่ต้องการทีมเวิร์คสูง

  1. ยอมรับความผิดพลาดเป็นตัวอย่าง: ผู้นำสามารถแชร์ความล้มเหลวของตัวเองเพื่อแสดงว่าการผิดพลาดคือการเรียนรู้ ไม่ใช่จุดอ่อน
  2. ฟังอย่างไม่ตัดสิน: รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายด้วย empathy สร้างความเคารพและมิตรภาพในทีม
  3. ส่งเสริมการถามและแสดงออก: ถามคำถามกระตุ้นให้สมาชิกกล้าพูด แม้ขัดแย้งกับหัวหน้า
  4. ไม่ตำหนิเมื่อผิดพลาด: เน้นแก้ปัญหาแทนการโทษ สร้างความเชื่อมั่นว่าทีมช่วยเหลือกันได้
  5. สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ: มอบหมายงานท้าทาย สนับสนุนให้พนักงานรับผิดชอบเพื่อเพิ่ม engagement
  6. จัดกิจกรรมเปิดอก: ประชุม weekly sharing หรือ workshop เพื่อแบ่งปันไอเดียอย่างตรงไปตรงมา
  7. วัดและปรับปรุง: ใช้แบบประเมิน 7 ข้อด้านบนทุก 3 เดือน แล้วปรับตามผล

สุดท้าย ในบริบทของความปลอดภัยทางจิตใจในองค์กรจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง employee engagement (การมีส่วนร่วมของพนักงาน) เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าการสรรหาพนักงาน การอบรมพนักงาน ให้มีคุณสมบัติที่เพียงพอกับการปฏิบัติงานนั้นมีความยากและมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก หากเราไม่สามารถสร้างความปลอดภัยทางจิตใจได้ ต่อให้องค์กรนั้นๆ มีความปลอดภัยทางกายภาพสูงเพียงใด ให้ค่าตอบแทนสูงเพียงใด ก็ไม่สามารถดึงศักยภาพของทีมและทำให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของได้ ก็จะได้แต่พนักงานที่ทำงานแบบเอาตัวรอด รอวันเงินเดือนออก และไม่กล้าออกจาก comfort zone แน่นอนที่องค์กรที่มีพนักงานตายซาก (dead wood) เหล่านี้ย่อมไม่มีทางเติบโตได้

Leave a comment