ในการใช้มนุษย์เป็นเสมือนเครื่องมือวิทยาศาสตร์ในการทดสอบทางประสาทสัมผัส สามารถแบ่งได้เป็นสองแนวทางกว้างๆ ด้วยกัน
1. กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มเล็กๆ ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ที่เราเรียกว่า sensory panelists คนเหล่านี้จะถูกฝึกฝนให้มีบรรทัดฐานที่ใกล้เคียงกัน โดยจะต้องสามารถบอกคุณภาพในเชิงคุณภาพ (qualitative) และปริมาณ (quantitative) ได้ ข้อดีคือ เหมาะกับการใช้งานภายใน เช่น กาแฟตัวนี้ขมกว่าอีกตัวนึง กาแฟตัวนี้มีกลิ่นคล้ายช็อคโกแลต กาแฟตัวนี้มีกลิ่นรสที่ไม่พึงปรารถนาถือเป็น defect ส่วนข้อเสียก็คือ การฝึกอบรมให้ได้กลุ่ม panelist ที่มีคุณภาพต้องลงทุนลงแรงค่อนข้างมาก และการรักษามาตรฐานให้สูงอยู่เสมอเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้ก็ยังมีแนวโน้มที่ผู้เชี่ยวชาญจะมีความคุ้นชินกับรสชาติแบบหนึ่งที่ถือว่าเป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับกันภายในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้วยกันเองว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงแต่อาจไม่ตอบโจทย์ความชอบของผู้บริโภคทั่วไป

2. ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ เนื่องจากสินค้าต้องตอบโจทย์ลูกค้า การทำการทดสอบกับตัวแทนผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะได้ผลที่แท้จริงจากภายนอกองค์กร ว่าสินค้าแบบนี้จะเป็นที่ยอมรับมากแค่ไหน แต่เนื่องจากความหลากหลายของผู้เข้าทดสอบที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้นแบบกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผลที่ได้จะมีความเหวี่ยงค่อนข้างมาก จึงต้องใช้กลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่พอสมควร และต้องคัดเลือกให้มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่สุด นอกจากนี้ยังต้องควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการทดสอบ เช่น การเปิดเผยแบรนด์ ราคา บรรจุภัณฑ์ หรือการชี้นำอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ทดสอบมี bias ได้

คำถามชวนคิด : กาแฟตัวนี้ได้ 86 คะแนน เป็น qualitative หรือ quantitative
คำตอบ : ไว้มาคุยกันต่อใน Ep. หน้าครับ